ตอบคำถามจากแพทย์: ดูดไขมันอันตรายไหม?
คำถามที่ว่า “ดูดไขมันอันตรายไหม?” ถือเป็นข้อกังวลหลักของคนไข้ที่สนใจการปรับรูปร่างครับ ในปัจจุบัน การดูดไขมัน ถือเป็นหัตถการด้านความงามที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากเป็นวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน
ในความเป็นจริง หากถามว่าอันตรายไหม คำตอบคือ “มีความปลอดภัยสูงมาก” แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องทำในสถานพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน และต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงเท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรืออันตรายถือว่าน้อยมากครับ ความปลอดภัยในการดูดไขมันจึงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน
ตอบคำถามจากแพทย์: ดูดไขมันอันตรายไหม?
ความเสี่ยงและอันตรายส่วนใหญ่ที่หลายคนกังวล มักเกิดจากการเลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ดังนี้
-
การติดเชื้อ (Infection):
เป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่พบได้น้อยมาก แต่โอกาสจะสูงขึ้นหากทำในคลินิกที่ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน หรือขาดความสะอาดปลอดเชื้อที่เพียงพอ
-
การบาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน:
เช่น ปลายท่อดูดไขมันไปกระทบอวัยวะภายในช่องท้อง ถือเป็นภาวะที่พบได้น้อยมากเช่นกัน แต่มีความเสี่ยงหากทำโดยแพทย์ที่ขาดประสบการณ์และความชำนาญ
-
ปัญหาผิวไม่เรียบเนียนในระยะยาว:
การที่ผิวเป็นคลื่นหรือบุบเบี้ยว อาจเกิดจากแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ทำการดูดไขมันในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม หรือใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
-
ความเสี่ยงจากผู้ที่ไม่ใช่แพทย์:
หากผู้ทำหัตถการไม่ใช่แพทย์จริงที่ได้รับใบอนุญาต หรือไม่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันโดยตรง ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นที่น่าพอใจและเสี่ยงอันตราย
-
อุปกรณ์และสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน:
การใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ไม่มีการรับรอง หรือห้องผ่าตัดที่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินครบครัน ล้วนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
ทำความเข้าใจ ผลข้างเคียง ที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ (และวิธีจัดการ)
สิ่งสำคัญคือ เราต้องแยกแยะระหว่าง “อันตราย” กับ “ผลข้างเคียงชั่วคราว” ที่เป็นอาการปกติหลังการดูดไขมัน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนการผ่าตัดทั่วไป และ ไม่ถือว่าเป็นอันตราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นตัวของร่างกาย:
- อาการบวมและช้ำ: เป็นอาการที่พบได้ปกติในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำ
- อาการชา: อาจรู้สึกชาบริเวณผิวหนังที่ทำการดูดไขมัน ซึ่งจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
- การเกิดก้อนไตแข็ง: การคลำเจอก้อนไตแข็งๆ ใต้ผิวหนังเป็นอาการปกติ ร่างกายจะค่อยๆ สมานตัวและอาการเหล่านี้จะดีขึ้นเองภายใน 1 เดือน และหายเป็นปกติใน 4-6 เดือน
อาการข้างเคียงเหล่านี้สามารถจัดการได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใส่ชุดกระชับ การรับประทานยา และการดูแลแผล
3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดูดไขมันปลอดภัย
ในการประเมินความปลอดภัยของการดูดไขมัน เราควรพิจารณา 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์:
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด แพทย์ต้องมีความชำนาญเฉพาะทางด้านการดูดไขมัน มีประสบการณ์สูง และเข้าใจเทคนิคการดูดไขมันในชั้นผิวที่ถูกต้อง
2.มาตรฐานคลินิกและห้องผ่าตัด:
คลินิกต้องได้รับอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างถูกต้อง ห้องผ่าตัดต้องมีมาตรฐานความสะอาด ปลอดเชื้อ และมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินครบครัน
3.เทคโนโลยีและเครื่องมือ:
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการดูดไขมันต้องทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล (เช่น US FDA) และเหมาะสมกับคนไข้
Deva Clinic ดูแลความปลอดภัยของคุณอย่างไรในทุกขั้นตอน
ที่ Deva Clinic เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนไข้เป็นอันดับหนึ่ง คุณจึงมั่นใจได้ในมาตรฐานของเรา
1.คลินิกมาตรฐาน:
เราเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และมีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง
2.แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ:
ดูแลทุกเคสโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันโดยเฉพาะ ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 12 ปี และผ่านการทำเคสมานับพันเคส
3.ห้องผ่าตัดมาตรฐานโรงพยาบาล:
เราใช้ห้องผ่าตัดขนาดใหญ่ที่ปลอดเชื้อเทียบเท่ามาตรฐานโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตและติดตามสัญญาณชีพครบครัน
4.เทคโนโลยีระดับสากล:
เราเลือกใช้เฉพาะเครื่องมือที่ทันสมัยและมีมาตรฐานระดับสากล เช่น เครื่องกระชับผิวที่ผ่านการรับรองจาก US FDA
5.การรับประกันผลลัพธ์:
เรามีการรับประกันผลงาน* ในเรื่องผิวเป็นคลื่นหรือบุบเบี้ยว เพื่อความมั่นใจสูงสุดของคนไข้
*Premium program
6.การดูแลครบวงจร (After Care)
เรามีโปรแกรมดูแลหลังทำที่ครบครัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
การเตรียมตัวที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร?
การเตรียมตัวของคนไข้ก่อนการดูดไขมันก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้
1.แจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด:
ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว, ประวัติการแพ้ยา, ยาที่รับประทานประจำ และประวัติการผ่าตัดที่ผ่านมา
2.ตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัด:
เข้ารับการตรวจร่างกายตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ตรวจเลือด, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), หรือเอกซเรย์ปอด เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
3.งดวิตามินและยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด:
เช่น อาหารเสริม, วิตามิน E, หรือยาบางชนิด ก่อนการผ่าตัดตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
4.งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์:
ควรงดทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
5.พักผ่อนให้เพียงพอ:
เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจก่อนวันผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำ: กุญแจสำคัญสู่ความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
การปฏิบัติตัวหลังการดูดไขมันเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้แผลหายเร็ว ลดภาวะแทรกซ้อน และได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม
1.การใส่ชุดกระชับ:
นี่คือข้อที่สำคัญมาก ควรใส่ชุดกระชับให้ได้มากที่สุดในช่วง 6 สัปดาห์แรก (โดยเฉพาะ 4 สัปดาห์แรก แนะนำให้ใส่ 24 ชั่วโมง) เพื่อลดอาการบวม ช่วยให้ผิวหนังหดตัวเข้าที่ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2.การดูแลแผล:
ทำความสะอาดแผลวันละ 1 ครั้ง และต้องระวัง ห้ามให้แผลโดนน้ำ จนกว่าจะถึงวันนัดตัดไหม (ปกติที่ 7 วัน)
3.การรับประทานยา:
ต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์สั่งจนครบ 5 วัน และสามารถทานยาแก้ปวดได้หากมีอาการ
4.การรับประทานอาหาร:
งดอาหารเสริม, ของหมักดอง, ของดิบ และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
5.งดออกกำลังกาย:
ควรงดการออกกำลังกายในบริเวณที่ดูดไขมันอย่างน้อย 3-4 สัปดาห์
6.การติดตามผล:
เข้าพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อติดตามอาการ เช่น นัดตัดไหม (7 วันสำหรับลำตัว, 3 วันสำหรับใบหน้า/เหนียง) และนัดติดตามผลที่ 1 เดือน, 1.5 เดือน และ 3 เดือน
เสียงจากคนไข้จริง: ประสบการณ์ดูดไขมันที่ปลอดภัยและน่าประทับใจ
Before - After หลังดูดไขมัน
รีวิวต้นแขน
รีวิวหน้าท้อง
รีวิวต้นขา
รีวิวเหนียง กรอบหน้า
รีวิวกระชับผิว J plasma
โดยสรุป วิธีการลดความเสี่ยงและตอบคำถามที่ว่า “ดูดไขมันอันตรายไหม” หัวใจสำคัญที่สุดอยู่ที่ “การเลือก” ของตัวคนไข้เองครับ
วิธีที่จะทำให้การดูดไขมันปลอดภัยที่สุด คือการเลือกคลินิกที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน พิจารณาทั้งฝีมือและประสบการณ์ของแพทย์, เทคนิคที่ใช้, ดูรีวิวผลงานจริง และตรวจสอบมาตรฐานของคลินิกและห้องผ่าตัด เมื่อเราเลือกได้อย่างถูกต้อง ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่ากังวลก็จะลดลงไปได้เกือบทั้งหมดครับ
นพ.ชัยวิทย์ ด่านค้ามาก

