ดูดไขมันคืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์ [2025] 

ดูดไขมัน คือหัตถการทางการแพทย์เพื่อการ “กระชับสัดส่วน” ที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดซึ่งลดได้ยากด้วยการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย โดยอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและปลอดภัย

การดูดไขมันเป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสัดส่วนให้สวยงาม โดยผู้ที่เหมาะสมที่สุดมักมีลักษณะดังนี้

• มีไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดยาก: แม้จะออกกำลังกายหรือคุมอาหารอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังมีไขมันดื้อด้านสะสมอยู่บริเวณหน้าท้อง, ต้นแขน, ต้นขา หรือเหนียง
• มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ไม่ใช่คนอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานไปมาก เพราะการดูดไขมันเป็นการปรับรูปร่าง ไม่ใช่การลดความอ้วน
• ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน  โดยเฉพาะกลุ่มที่ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารแล้วแต่ไขมันส่วนเกินยังไม่ลดลง
• มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง: ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดและการฟื้นตัว

การดูดไขมันในคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนชัดเจนและปลอดภัย การทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดจะช่วยลดความกังวลและเตรียมความพร้อมได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: การปรึกษาและประเมินกับแพทย์

• สามารถเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกันได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด 

• ตรวจสุขภาพ: มีการตรวจเลือดเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
• งดยาและอาหารเสริม: งดวิตามิน, อาหารเสริม, และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน) อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด

ขั้นตอนที่ 3: วันดูดไขมัน

• เคลียร์ค่าใช้จ่ายและเอกสารต่างๆ
• เปลี่ยนชุด วัดสัดส่วน ในบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน
• ลองชุดกระชับ สำหรับใส่หลังการดูดไขมัน
• คุณหมอรูปทางการแพทย์ก่อนดูดไขมัน (เพื่อเปรียบเทียบก่อน-หลังดูดไขมัน)
• คุณหมอจะวาดจุดในบริเวณที่จะดูดไขมัน
• เตรียมพร้อมโดยการเข้าห้องผ่าตัด
• เริ่มขั้นตอนการดูดไขมัน

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดคือเรื่องความเจ็บและการพักฟื้น ซึ่งเราสามารถสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ได้ดังนี้

ระดับความเจ็บ ในระหว่างการดูดไขมัน แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่หรือวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ ทำให้คนไข้ ไม่รู้สึกเจ็บเลย ส่วนอาการหลังทำ จะเป็นลักษณะการปวดระบมคล้ายการออกกำลังกายมาอย่างหนัก ซึ่งเป็นระดับความเจ็บที่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวดที่คลินิกจัดให้

ระยะเวลาพักฟื้น ระยะเวลาพักฟื้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับบริเวณ แต่โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้พักฟื้นประมาณ 3-7 วัน สามารถกลับไปทำกิจกรรมเบาๆ ได้ แต่ควรงดการออกกำลังกายหนักหรือการยกของหนักประมาณ 4-6 สัปดาห์

หลังการดูดไขมัน ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ ได้ โดยอาการเหล่านี้ เป็นเรื่องปกติและเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

• อาการบวมช้ำ: จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปใน 7-14 วัน
• อาการเป็นไตแข็งใต้ผิว: เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมของร่างกาย จะค่อยๆ นิ่มลงและหายไปเองใน 2-3 เดือน (บางเคสนานถึง 6 เดือน)
• สีผิวไม่สม่ำเสมอ: อาจเกิดรอยคล้ำจางๆ จากคราบธาตุเหล็กในเลือด ซึ่งจะจางหายไปได้เองใน 6 เดือน – 1 ปี
• อาการชาตามผิวหนัง: เกิดจากเส้นประสาทเล็กๆ ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ไม่ใช่ภาวะถาวร

เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการดูดไขมันต้นแขนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง กรุณาปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด

ช่วง 1 สัปดาห์ ก่อนวันผ่าตัด

• มีการตรวจเลือดเพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย
• งดวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิดก่อนวันนัด 5-7 วัน
• ลบสีทาเล็บทั้งเล็บมือและเล็บเท้า

ในวันผ่าตัด:

• แนะนำให้สระผมมาก่อนล่วงหน้า
• สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายและง่ายต่อการเปลี่ยน (เช่น เสื้อเชิ้ตมีกระดุมหน้า)
• งดแต่งหน้าและงดใส่เครื่องประดับทุกชนิด

การทำแผล: ทำแผลทุกวัน วันละ 1 ครั้ง (แนะนำตอนเย็น)

การตัดไหม: นัดตัดไหม 7 วันหลังการดูดไขมัน

การใส่ชุดกระชับ: แนะนำให้ใส่ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยใส่ให้ได้นานที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรับประทานยา: รับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์สั่งจนหมด

ข้อควรระวังด้านอาหาร: งดอาหารเสริมทุกชนิด, ของหมักดอง, ของดิบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์

การออกกำลังกาย: งดการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์

การดูดไขมันเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ทรงประสิทธิภาพในการ “ปรับสัดส่วน” และกำจัดไขมันดื้อด้านที่การออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารเข้าไม่ถึง ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เป็นการสร้างความสมส่วนและความสวยงามให้กับรูปร่าง

หากคุณคือผู้ที่มีสุขภาพดีและต้องการจัดการไขมันเฉพาะจุดเพื่อรูปร่างในฝัน การดูดไขมันอาจเป็นคำตอบที่ใช่ อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลภาพรวม การตัดสินใจที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ

นพ.ชัยวิทย์ ด่านค้ามาก